การ “ แก้จมูก ” ถือว่าเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย แค่การวาดฝันไว้ว่าต้องมีรูปทรงจมูกที่สวยเข้ากับใบหน้าอาจไม่เพียงพอ เพราะต่อให้การเสริมจมูกใหม่ดูเหมือนเป็นเรื่องชิล ๆ ของใครหลายคน แต่ก็ยังมีสิ่งที่จำเป็นต้องรู้ และทำความเข้าใจอีกหลายอย่าง หากคนไข้ท่านใดกำลังมองหาข้อมูลเพื่อ เสริมจมูกครั้งแรก หรือเคยเสริมจมูกมาแล้ว ต้องการแก้จมูก ผมจะมาแนะนำให้เข้าใจในบทความนี้ครับ
แก้จมูก คืออะไร
การเสริมจมูกคือการเปลี่ยนแปลง แก้ไขรูปทรงจมูกเดิม ให้ดูสวยขึ้น โด่งขึ้น รวมไปถึงปรับให้ทรงจมูกให้ดูเหมาะกับใบหน้า ส่วนการแก้จมูกคือการแก้ไขจมูกจากปัญหาเสริมมาแล้วไม่ถูกใจ ไม่ได้รูปทรงจมูกที่ต้องการ ซึ่งหลัก ๆ ต้องคำนึงถึงปัญหาที่คนไข้ส่วนใหญ่พบเจอ เช่น ทำจมูกมาแล้วจมูกไม่พุ่ง ไม่เรียว รวมถึงเป็นปัญหาที่เกิดจากโครงสร้างเดิม เช่น ฐานกว้าง จมูกใหญ่ปลายโต จมูกงุ้ม หรือฮัมพ์สูง นั่นเองครับ
โดยการแก้จมูกนั้นต้องอาศัยเรื่องของระยะเวลาเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งแพทย์จะแนะนำให้คนไข้ที่ต้องการแก้จมูกรออย่างน้อย 3 – 6 เดือน ก่อนนำซิลิโคนอันเดิมออก แล้วเสริมให้ใหม่ โดยเคสที่มาทำจมูกส่วนใหญ่ แพทย์จะใช้เทคนิคการเสริมจมูกแบบโอเพ่น หรือแบบเปิด เพราะแพทย์จะสามารถมองเห็นปัญหาจากภายในได้อย่างตรงจุดก่อนทำการแก้ไข เพื่อให้คนไข้เกิดความพึงพอใจหลังผ่าตัดสักที จะได้ไม่ต้องแก้หลาย ๆ รอบ
เนื่องจากการแก้จมูกจะมีขั้นตอน และเทคนิคที่ต่างจากการเสริมใหม่อาจทำให้มีเรื่องของค่าใช้จ่ายที่สูง ทางที่ดีคนไข้ก็ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการเสริมจมูก ก่อนตัดสินใจจะดีกว่าครับ หรือถ้าเกิดข้อสงสัยก็แนะนำให้เขาพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อเข้ารับคำปรึกษาจะได้เข้าใจถึงปัญหาในการเสริมจมูก และแก้จมูกได้อย่างชัดเจนนั่นเองครับ
สาเหตุอะไรที่ควร แก้จมูก
สำหรับสาเหตุที่ทำให้คนไข้ต้องการแก้ไขจมูกที่เสริมมาใหม่อีกครั้งสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นการเสริมจมูกด้วยซิลิโคน หรือเสริมจมูกไร้ซิลิโคนเป็น แต่สาเหตุที่พบได้บ่อยมีดังนี้
- ปลายจมูกเสี่ยงต่อการเกิดซิลิโคนทะลุ
เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การเสริมซิลิโคนที่มีขนาดไม่พอดีกับโครงสร้างจมูก ซิลิโคนมีขนาดยาวเกินไป เสริมซิลิโคนโด่งเกินไป หรือผู้ที่เสริมจมูกมีเนื้อจมูกน้อย โดยจะทำให้เนื้อบริเวณปลายจมูกค่อย ๆ บางลงเรื่อย ๆ ปลายจมูกจะมีลักษณะบางใส ดูตึง ปลายจมูกแดง หากปล่อยทิ้งไว้จะทำให้เกิดการอักเสบ และเสี่ยงต่อเกิดปัญหาซิลิโคนเสริมจมูกทะลุได้ครับ
- ซิลิโคนลอย
ภาวะที่ซิลิโคนไม่แนบติดกับจมูก อาจเกิดจากแพทย์วางซิลิโคนในตำแหน่งผิวหนังชั้นตื้น ไม่ได้วางไว้ใต้ชั้นเยื่อหุ้มกระดูก จึงทำให้ซิลิโคนมีการขยับ หรือเคลื่อนได้ง่ายกว่าปกติ โดยจะมีลักษณะเป็นซิลิโคนลอยขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดเจน และสามารถใช้นิ้วมือขยับได้
- รูปทรงจมูกมีปัญหา
บางครั้งการเสริมจมูกอาจทำให้ได้รูปทรงจมูกที่คนไข้ไม่พึงพอใจ เช่น สันจมูกเป็นแท่งแข็ง ดูไม่เป็นธรรมชาติ ปลายจมูกสั้นเชิดจนเกินไป หรือรูจมูกผิดรูป ซึ่งสาเหตุมักเกิดจากการเลือกใช้ซิลิโคนสำเร็จรูป หรือ เหลาซิลิโคนไม่เข้ากับรูปหน้า ถึงจะไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ แต่อาจทำให้สูญเสียความมั่นใจได้
- จมูกเบี้ยวเอียง
หากแท่งซิลิโคนจมูกเบี้ยวเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง หรือแท่งซิลิโคนตรงแต่จมูกดูเบี้ยวเอียง อาจเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่พบบ่อยของคนที่มาแก้ไขจมูก ซึ่งเกิดได้จาก 2 สาเหตุหลัก ๆ คือ การเลือกใช้ซิลิโคนที่ไม่เข้ากับรูปทรงจมูกเดิม และการที่ผู้เสริมจมูกมีฐานจมูกเอียงแต่เดิม แต่ไม่ทำการแก้ไขให้ดีก่อนด้วยการตะไบฮัมพ์ หรือตอกฐานจมูก ทำให้เมื่อวางซิลิโคนจมูกลงไปแล้วทำให้จมูกดูเบี้ยวเอียงนั่นเอง
- จมูกเสียรูปทรงจากการร้อยไหม
การร้อยไหมจมูก เป็นอีกหนึ่งวิธีที่คนนิยมทำกันเพื่อปรับรูปทรงจมูกให้สวยงามตามที่ต้องการ แต่การร้อยไหมจมูกจะให้ผลลัพธ์ชั่วคราว ต้องทำซ้ำทุก 6 เดือนถึง 1 ปี และอาจทำให้ไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ หรือเกิดปัญหาอย่างพังพืด หรือการดึงรั้งเนื้อจมูก ซึ่งส่งผลให้จมูกเสียทรงจนต้องมาทำการแก้ไขนั่นเอง
- เคยฉีดซิลิโคนเหลว/ฟิลเลอร์ปลอมที่จมูก
โดยปกติแล้ว การฉีดฟิลเลอร์แท้ในกลุ่มไฮยาลูรอนิกแอซิด จะสามารถสลายไปได้เองโดยที่ไม่ตกค้างในร่างกาย แต่ในกรณีผู้ที่ฉีดซิลิโคนเหลว หรือฟิลเลอร์ปลอม เพื่อปรับรูปทรงจมูก สารเหล่านี้จะไม่สามารถสลายหายได้เอง และเมื่อระยะเวลาผ่านไป อาจไหลไปยังบริเวณข้างเคียงจนทำให้จมูกเสียทรง หรือทำให้เกิดพังผืดได้ ซึ่งจะต้องมาทำการรักษาด้วยการเข้ารับการผ่าตัดขูดซิลิโคนเหลวออก และผ่าตัดเสริมจมูกใหม่อีกครั้ง
- รู้สึกตึงบริเวณปลายจมูก
หนึ่งในสัญญาณของซิลิโคนจมูกทะลุ คือรู้สึกเสียวเวลาลูบปลายจมูก หรือมีอาการตึงมากบริเวณปลายจมูก ซึ่งอาการเหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อผิวหนังบริเวณปลายจมูกเริ่มบางลง หรือซิลิโคนอยู่ใกล้กับผิวหนังปลายจมูกมากเกินไป หากไม่รีบเข้ารับการรักษาจะทำให้เกิดซิลิโคนจมูกทะลุอย่างแน่นอน
- ซิลิโคนจมูกทะลุ
ปัญหาสุดรุนแรงอันดับต้น ๆ ของการเสริมจมูกด้วยซิลิโคน โดยจะมีลักษณะเป็นเนื้อปลายจมูกบาง ๆ และมองเห็นซิลิโคนสีขาว ๆ ใต้ผิวหนัง ห้ามไปจับ หรือแตะโดยเด็ดขาด เพราะอาจทำให้เกิดอันตราย เกิดการอักเสบ หรือติดเชื้อได้ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการแก้ไขทันที
- จมูกติดเชื้อ
การติดเชื้อ เป็นหนึ่งในผลข้างเคียงทั่วไปที่สามารถพบได้จากการผ่าตัดทุกประเภท รวมถึงการผ่าตัดเสริมจมูกด้วย โดยจะมีลักษณะจมูกบวมผิดปกติ และบวมขึ้นเรื่อย ๆ โดยจะมีอาการปวดบริเวณรอบจมูกร่วมด้วย หรือมีอาการปวด และบวมแดงบริเวณปลายจมูก มีน้ำเหลือง หรือเลือดไหลออกมาจากด้านในจมูก หรือรอยผ่าตัด ร่วมกับมีอาการบวมแดง และปวด สีผิวหนังบริเวณจมูกเปลี่ยนไป เช่น กลายเป็นสีดำ หากมีอาการเหล่านี้ นั่นหมายความว่าจมูกที่เสริมมามีการอักเสบ หรือติดเชื้อ จะต้องรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาทันที ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายได้
ใครที่เหมาะสำหรับแก้จมูกบ้าง
สำหรับคนไข้ที่แก้มาแล้วหลายครั้ง แต่ยังเจอปัญหาเดิม ๆ ไม่จบไม่สิ้น เสริมกี่ครั้งก็พังเหมือนเดิม ไม่ปังซักทีต้องลองทำความเข้าใจใหม่นะครับ ว่าจมูกที่ต้องการแก้ไขนั้นปัญหาอยู่ที่ตรงไหน ซึ่งคนไข้ที่เหมาะกับการแก้ไขปัญหาจมูกจะมีอยู่ดังนี้
- คนไข้ที่มีจมูกใหญ่เนื้อเยอะ
จมูกทรงนี้จะเรียกว่าจมูกชมพู่ มีลักษณะเนื้อปลายจมูกหนา เนื้อเยอะ ฐานกว้าง ทำให้เวลายิ้ม แล้วจมูกขยายบานออกแล้วดูจมูกไม่เรียว สามารถแก้ไขปัญหาด้วยเทคนิคผ่าตัดแบบเปิดได้ เพื่อปรับแก้ไขโครงสร้าง ตอกฐานจมูก ลดขนาดปลาย โดยตรง เพื่อให้จมูกเรียวเล็กลง
- คนไข้ที่มีจมูกฮัมพ์สูง
จมูกลักษณะนี้จะมีกระดูกบริเวณสันจมูกนูนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด การสังเกตจมูกมีฮัมพ์ต้องดูจากมุมข้าง บางเคสจะนูนสูง บางเคสจะเป็นคลื่น ตรงบริเวณสันจมูกไม่เรียบ แนะนำให้ใช้วิธีการ ตอกฐาน ให้เรียบก่อน แล้วค่อยทำการเสริมจมูก
- คนไข้ที่มีจมูกงุ้ม
จะมีลักษณะปลายยาว ส่วนปลายจมูกจะงุ้มลง มีลักษณะคล้ายคันธนู กระดูกบริเวณสันจมูกนูนสูงขึ้น ซึ่งจมูกลักษณะนี้ นอกจากจะทำให้หน้าดูดุแล้ว ยังทำให้หน้าดูแข็งทื่อ การแก้ไขจมูกงุ้มด้วยการทำศัลยกรรมจมูก นับว่าเป็นทางเลือกที่หนุ่ม ๆ หรือสาว ๆ สนใจอย่างมาก นอกจากจะแก้ไขจมูกงุ้มให้สวยแล้วนั้น ยังทำให้หน้าหวาน เปลี่ยนจากหน้าดุ ๆ ดูแข็งทื่อ ๆ ได้อีกด้วย
- คนไข้ที่มีจมูกสั้นแหงน
หรือที่หลายคนเรียกว่าจมูกหมู โดยจมูกลักษณะนี้ ปลายจะสั้นกว่าทรงจมูกทั่วไป ทำให้เห็นรูจมูกชัดเจน ซึ่งหลายเคสที่ทำมาแล้ว เป็นเคสแก้ มักเกิดจากซิลิโคนหดรั้ง และมีผังผืดเกาะ ต้องผ่าตัด แก้ไขปรับโครงสร้างเลาะผังผืด แล้วมีการยืดผนังกั้น จะทำให้จมูกดูยาวขึ้นนั่นเอง
เทคนิคที่นำมาใช้ แก้จมูก
การแก้จมูกในทางการแพทย์ จะสามารถแบ่งออกเป็น 2 วิธี ได้แก่ การใช้เทคนิคแบบเปิด (Open Technique) และเทคนิคแบบปิด (Closed Technique) ซึ่งเป็นเทคนิคที่แพทย์ให้การยอบรับในปัจจุบัน โดยรายละเอียดของเทคนิคดังกล่าวมีดังนี้
- การใช้เทคนิคแบบเปิด (Open Technique)
การแก้ไขจมูกด้วยเทคนิคโอเพ่น หรือแบบเปิด จะช่วยปรับโครงสร้างภายใน รวมถึงสามารถตอกฐาน เพื่อลดขนาดปลาย ยืดผนังกั้นจมูก การเย็บกระดูกอ่อนคู่หน้าเข้าชิดกัน หรือที่รู้จักกันในชื่อ การเย็บแบบอินเตอร์โดม ล้วนเป็นเทคนิคแบบเปิดทั้งหมด เรียกได้ว่า เป็นการแก้ไขจมูกแบบจัดเต็มทุกส่วน
โดยทั่วไปการผ่าตัดด้วยเทคนิคเปิด แทบจะไม่ทิ้งร่องรอยแผลเป็นไว้ ทำให้การผ่าตัดรูปแบบนี้จะมีความยาก และซับซ้อนสูง ดังนั้นคนไข้จึงควรเลือกแพทย์ทีีมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง และมีประสบการณ์อย่างน้อย 5 – 10 ปี เพื่อความปลอดภัย แก้จมูกออกมาแล้วปังกว่าเดิมนั่นเองครับ
- การใช้เทคนิคแบบปิด (Closed Technique)
การใช้เทคนิคแบบปิด ส่วนมากจะเหมาะกับการเติมสันจมูก ปลายจมูก สามารถทำได้เลยทันที ในกรณีจมูกไม่มีปัญหาโครงสร้างพื้นฐาน ถือว่าเป็นการผ่าตัดเล็ก โดยใช้เวลาในการผ่าตัดราว ๆ 30 – 60 นาที ก็เสร็จเรียบร้อย เรียกว่าสวยไว เจ็บตัวน้อย ราคาถูก
แต่เทคนิคแบบปิดนั้น ก็ยังมีข้อจำกัดเหมือนกัน เพราะไม่สามารถแก้ไขปัญหารูปทรงจมูกที่ยาก เช่นกรณี จมูกสั้นมาก จมูกงุ้มเกิน หรือในเคยผ่านการผ่าตัดจมูกหลาย ๆ ครั้งแล้วยังไม่จบ
นอกจากนี้ การแก้จมูกแบบปิด แพทย์จะนิยมนำกระดูกอ่อนหลังใบหู หรือเนื้อเยื่อไขมันมารองบริเวณปลายจมูก เพื่อเพิ่มความหนาของเนื้อเยื่อจมูก ลดความเสี่ยงจมูกทะลุ เรียกได้ว่า สวยแบบปลอดภัยนั่นเอง